การกักโรคปลาที่ซื้อมาใหม่อย่างถูกวิธี
คำถามยอดฮิตของลูกค้าเวลามารับปลาจากฟาร์มกลับบ้านคือ...ปล่อยลงบ่อเลี้ยงเลยได้รึเปล่า? ต้องกักโรคไม๊? คำตอบที่ผมตอบลูกค้ามีเพียงคำตอบเดียวคือ ต้องกักโรคครับ!!! บางท่านถามกลับมาว่า...หรือเอาลงบ่อแล้วใส่ยาลงบ่อเลยไม่ได้หรอ? ผมคงต้องตอบว่า ถ้าอยากจะเสี่ยงก็แล้วแต่ แต่ผมไม่รับประกันความปลอดภัย!! และผมขอแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้น
ผมขออธิบายเรื่องการกักโรคนี้เป็นการถามตอบ Q&A เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
Q1. การกักโรคที่ถูกต้องนั้น มีประโยชน์ยังไง?
- การกักโรคป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และ ปรสิต ระหว่างปลาเก่าที่บ้าน และปลาที่ซื้อใหม่
- การกักโรคช่วยป้องกันหรือลดทอนความเสียหายจากการสูญเสีย สำคัญที่สุดคือชีวิตปลา รองลงมาคือเงินที่ซื้อปลาตัวนั้นมา และอาการหมดกำลังใจในการเลี้ยงปลา
- การกักโรคช่วยเพิ่มทักษะและความชำนาญในการรักษาปลา เพราะปลาเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ย่อมจะป่วยได้ตลอดช่วงระยะเวลาที่เราเลี้ยง
- ต้องใช้ยาปริมาณมาก เปลืองค่ายา
- เกิดยาตัวนั้นไม่สามารถกำจัดโรคนั้นได้ อาจจะทำให้ปลาป่วยหรือตายทั้งบ่อหรือเกือบทั้งบ่อ
- ตัวยาซึ่งต้องมีฤทธิ์ทำลายเเบคทีเรีย จะไปทำลายแบคทีเรียที่ดี ที่เราเลี้ยงไว้ในบ่อกรองด้วย ซึ่งจะทำให้ระบบกรองชีวภาพล่มชั่วคราวได้
- เกลือทะเลเม็ด
- อุปกรณ์ในการวัดความเค็ม (เครื่องวัดเกลือแบบต่างๆ)
- ยาฆ่าปรสิต เช่น ตัวยาพราซี่ควอนเทล (PRAZI , PARACIDE)
- ยาฆ่าแบคทีเรีย เช่น ตัวยาอ๊อกซี่เตดตร้าซัยคลิน หรือ ควิโนโลน (KOI-BACT , BAC-STOP)
- บ่อกักโรคที่มีปริมาตรน้ำ 1,000 ลิตร ขึ้นไป พร้อมอุปกรณ์การให้อากาศ ถ้าจะให้สมบูรณ์ที่สุดควรมีถังกรองและจะดีมากๆถ้ามีเครื่องควบคุมอุณหภูมิน้ำหรือ Chiller
ขั้นตอนและวิธีการรวมถึงตัวยาที่ใช้นั้น สูตรของนักเลี้ยงปลาคาร์พทั่วไปมีหลายสูตร หลายวิธีมาก แต่สูตรของผมที่ใช้จัดการปลาใน Koikichi Fish Farm นั้น เราเน้นที่ความถูกต้องตามหลักการแพทย์
หมายถึงเป็นวิธีการที่สัตวแพทย์แนะนำหรือไม่คัดค้าน รวมถึงเป็นวิธีการที่คำนึงถึงสุขภาพของปลาเป็นสำคัญ ไม่ใช้สารเคมีที่สัตวแพทย์ไม่แนะนำ และไม่ใส่ยาพร่ำเพรื่อซึ่งอาจจะเป็นผลเสียต่อการรักษา แทนที่ปลาจะหายจากโรค กลับเป็นการให้ยาผิด ทำให้ปลาได้รับยาที่ไม่ตรงกับโรค
วิธีการกักโรคของ Koikichi Fish Farm มี 3 ขั้นตอนใหญ่ๆดังนี้
- ขั้นตอนการดูอาการปลาใหม่ว่าไม่มีเชื้อโรคร้ายแรงเช่น แบคทีเรียรุนแรง หรือ เชื้อไวรัส
- ขั้นตอนปรับสภาพปลาที่ซื้อมาใหม่ ให้เข้ากับปลาที่มีอยู่แล้ว
- ขั้นตอนการรักษา ถ้าเกิดปลาใหม่และเก่าติดเชื้อกัน
Q5. ขั้นตอนที่ 1 การดูอาการปลาใหม่ว่าไม่มีเชื้อโรคร้ายแรงเช่น แบคทีเรียรุนแรง หรือ ไวรัส ทำยังไง?
ขั้นตอนนี้คือวิธีการกักปลาที่ซื้อมาใหม่แยกไว้ในบ่อกักโรค แล้วดูอาการซัก 7 วัน ซึ่งเราสันนิษฐานได้ว่าถ้าปลามีโรคร้ายแรงน่าจะแสดงอาการภายใน 7 วัน แต่ขั้นตอนนี้สามารถข้ามหรือละไปได้เลยถ้าท่านซื้อปลาจากฟาร์มหรือแหล่งที่มีการดูแลและกักกันโรคอย่างมีมาตรฐาน เช่น ฟาร์มปลาที่นำเข้าโดยตรงจากญี่ปุ่น มีโรงกักกันและวิธีการกักกันตามมาตรฐานกรมประมง หรือมาตรฐานโลก เพราะฟาร์มปลาที่นำเข้าโดยตรงจากญี่ปุ่น ถ้าทำถูกต้องตามกฏหมายจะต้องสุ่มตรวจเชื้อไวรัส KHV ทุกครั้งที่มีการนำเข้า และถ้าฟาร์มหรือแหล่งที่ขายปลานั้น นำปลาเข้าฟาร์มโดยผ่านการตรวจไวรัสทุกครั้ง ก็จะทำให้ปลาในฟาร์มทั้งหมดปลอดจากเชื้อไวรัสนี้ 100% ส่วนแบคทีเรียร้ายแรงนั้น ถ้าปลาส่วนใหญ่ในฟาร์มมีความแข็งแรงปรกติดี ก็พอจะมั่นใจได้ว่าปลาน่าจะผ่านขั้นตอนที่ 1 ให้ข้ามไปขั้นตอนที่ 2 คือปรับปลาที่ซื้อมาใหม่ ให้เข้ากับปลาที่มีอยู่แล้วได้เลย
Q6. ขั้นตอนที่ 2 การปรับสภาพปลาที่ซื้อมาใหม่ ให้เข้ากับปลาที่มีอยู่แล้ว คืออะไร และ ทำยังไง?
ขั้นตอนนี้คือการทดลองนำปลาเก่าที่เลี้ยงอยู่แล้วซัก 1-2 ตัว มาปล่อยลงในบ่อกักโรคที่มีปลาใหม่อยู่ โดยใช้เกลือทะเลผสมลงในน้ำ 0.5% ( เกลือ 5kg / น้ำ 1 ตัน) และใส่ยาฆ่าปรสิตเช่น พราซี่คอวนเทลตามสูตรวันที่ 1,4,7 วีธีการนี้เป็นเหมือนการทดลองว่า ปลาทั้งสองกลุ่มเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว จะแพร่โรคเข้าหากันหรือไม่ หรือถ้าแพร่โรคใส่กันจะรุนแรงหรือไม่? และจะรักษาอย่างไร? ในขณะเดียวกันก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคและปรสิตที่ติดอยู่กับปลาด้วยเช่นกัน การทำแบบนี้ส่วนใหญ่ปลาอาจจะมีอาการติดเชื้อกันบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เช่น ตัวและครีบมีเส้นเลือดฝอยแดงขึ้น เพราะเกลือจะเป็นตัวช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าปรสิตบางชนิด และลดการ Osmosis หรือการซึมผ่านของน้ำเข้าไตปลา ทำให้ปลาสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น สุดท้ายปลาส่วนใหญ่จะกลับมาแข็งแรงดังเดิมหลังจากแช่เกลือและยาฆ่าปรสิตจนครบกำหนด ซึ่งจะกินระยะเวลาประมาณ 7-8 วัน ทั้งนี้การปนผสมปลานั้น ถ้าปลาจะมีอาการติดเชื้อกัน มักจะแสดงอาการหลังจากผสมกันเกิน 48 ชั่วโมง ให้สังเกตุให้ดีในช่วง 2 - 3 แรก ถ้าผ่านสองสามวันแรกไม่มีอาการ ก็ให้แช่เกลือและยาฆ่าปรสิตจนครบ 8 วัน ถ้าปลาปรกติก็สามารถที่จะปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยงได้เลย แต่ถ้าหลังจากวันที่ 3 ของการปนกันแล้ววันที่ 4 หรือ 5 มีอาการทรุดลง เช่น มีอาการติดเชื้อตัวแดงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีจ้ำแดงตามตัวเพิ่มขึ้น หรือหัวดิ่ง หรือหุบครีบ ให้ไปสู่ขั้นตอนทีี่ 3 คือ ขั้นตอนการรักษาโรคถ้าเกิดปลาใหม่และเก่าติดเชื้อกัน
Q7. ขั้นตอนการรักษา ถ้าเกิดปลาใหม่และเก่าติดเชื้อกัน
ขั้นตอนนี้คือการทดลองนำปลาเก่าที่เลี้ยงอยู่แล้วซัก 1-2 ตัว มาปล่อยลงในบ่อกักโรคที่มีปลาใหม่อยู่ โดยใช้เกลือทะเลผสมลงในน้ำ 0.5% ( เกลือ 5kg / น้ำ 1 ตัน) และใส่ยาฆ่าปรสิตเช่น พราซี่คอวนเทลตามสูตรวันที่ 1,4,7 วีธีการนี้เป็นเหมือนการทดลองว่า ปลาทั้งสองกลุ่มเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว จะแพร่โรคเข้าหากันหรือไม่ หรือถ้าแพร่โรคใส่กันจะรุนแรงหรือไม่? และจะรักษาอย่างไร? ในขณะเดียวกันก็เป็นการฆ่าเชื้อโรคและปรสิตที่ติดอยู่กับปลาด้วยเช่นกัน การทำแบบนี้ส่วนใหญ่ปลาอาจจะมีอาการติดเชื้อกันบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เช่น ตัวและครีบมีเส้นเลือดฝอยแดงขึ้น เพราะเกลือจะเป็นตัวช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าปรสิตบางชนิด และลดการ Osmosis หรือการซึมผ่านของน้ำเข้าไตปลา ทำให้ปลาสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น สุดท้ายปลาส่วนใหญ่จะกลับมาแข็งแรงดังเดิมหลังจากแช่เกลือและยาฆ่าปรสิตจนครบกำหนด ซึ่งจะกินระยะเวลาประมาณ 7-8 วัน ทั้งนี้การปนผสมปลานั้น ถ้าปลาจะมีอาการติดเชื้อกัน มักจะแสดงอาการหลังจากผสมกันเกิน 48 ชั่วโมง ให้สังเกตุให้ดีในช่วง 2 - 3 แรก ถ้าผ่านสองสามวันแรกไม่มีอาการ ก็ให้แช่เกลือและยาฆ่าปรสิตจนครบ 8 วัน ถ้าปลาปรกติก็สามารถที่จะปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยงได้เลย แต่ถ้าหลังจากวันที่ 3 ของการปนกันแล้ววันที่ 4 หรือ 5 มีอาการทรุดลง เช่น มีอาการติดเชื้อตัวแดงมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีจ้ำแดงตามตัวเพิ่มขึ้น หรือหัวดิ่ง หรือหุบครีบ ให้ไปสู่ขั้นตอนทีี่ 3 คือ ขั้นตอนการรักษาโรคถ้าเกิดปลาใหม่และเก่าติดเชื้อกัน
Q7. ขั้นตอนการรักษา ถ้าเกิดปลาใหม่และเก่าติดเชื้อกัน
ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ตัวปลาไม่สามารถที่จะสู้โรคที่ปลาตัวอื่นแพร่ให้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากเชื้อเเบคทีเรีย เพราะปรสิตมักจะหมดไปแล้วถ้าใช้เกลือ 0.5% พร้อม พราซี่ที่ใส่ครบโดส อาจจะเพราะเชื้อแบคทีเรียตัวที่ทำให้เกิดโรคนั้น มีความทนทานต่อความเค็มมากกว่าระดับ 0.5% ดังนั้นวิธีการคือให้เพิ่มระดับไปเป็น 0.6% ( เกลือ 6 kg / น้ำ 1 ตัน ) เมื่อเพิ่มถึงระดับ 6 แล้ว 2 วันยังไม่ดีขึ้นอีก ให้เพิ่มระดับไปเป็น 0.7% ( เกลือ 7 kg / น้ำ 1 ตัน ) ถึงตรงนี้ต้องขอย้ำนิดนึงว่า การรักษาปลาด้วยเกลือถ้าจะให้ได้ผลดีนั้น ต้องคุมระดับเกลือให้ดี การคุมระดับเกลือให้คงระดับได้ดีนั้น เครื่องมือที่จำเป็นมากๆคือเครื่องวัดความเค็มหรือเครื่องวัดเกลือ ในความเค็มระดับ 0.7% นี้คือความเค็มสูงสุดที่ผมจะแนะนำให้ใช้แล้ว โดยส่วนใหญ่ 99% ปลาจะต้องกลับมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นคือ 1% ที่เหลือ ถึงคราวที่เราจำเป็นจะต้องใช้ยาในการรักษาแล้ว แต่การเลือกใช้ยาให้ถูกกับโรค เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งดีที่สุดคือการขูดเมือกเข้าแลป ทดลองการใช้ยาว่าโรคนี้กลัวยาอะไร แต่ถ้าทำไม่ได้ผมแนะนำให้ใช้ยากลุ่มควิโนโลน เช่น KOI-BACT ถ้าปลายังพอกินข้าวกินปลาได้ ให้ผสมอาหารให้กินจะดีที่สุด เพราะตรงเข้าสู่ตัวปลา และยาไม่เสื่อมจากสภาวะ PH หรือ อุณหภูมิของน้ำที่ทำให้ยาเสื่อมฤทธิ์ ให้ยาให้ครบตามฉลากสั่งยาถ้าปลาดีขึ้นแสดงว่ายาถูกกับโรค ให้รักษาจนกว่าปลาจะหาย แล้วค่อยปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง
Q8. ระหว่างกักโรคให้อาหารดีหรือไม่?
การให้อาหารระหว่างกักโรคนั้น ควรทำให้น้อยที่สุด เพราะอาหารจะทำให้น้ำเสีย เนื่องจากบ่อกักโรคถึงแม้จะมีระบบกรอง แต่เราใส่ยาหรือเกลือ ทำให้ไม่มีแบคทีเรียที่ดีในการบำบัดน้ำ และปลาที่ถูกแช่อยู่ในยาหรือเกลือนั้น มักจะย่อยอาหารได้ไม่ดี ดังนั้นถ้าการกักโรคกินระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ไม่จำเป็นต้องให้อาหารปลาเลยจะดีกว่า แต่ถ้าเกินนั้นอาจจะพิจารณาให้แต่เล็กน้อยเพียงมือเดียว เพื่อเบรคช่วงขาดอาหารที่อาจจะนานเกินไปจนปลาโทรม